วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558

UNIT 12 : What They Said

Reported Speech

 การนำคำพูดของคนอื่น ๆ ไปบอกเล่าใครฟังมีวิธีพูดได้ 2 วิธีคือ
1. ยกคำพูดเดิมไปบอกทั้งหมด (Direct Speech)
      - Nicole says, "I am going to the movie."
      - Judy says to me,  "get out"
2. ดัดแปลงคำพูดเดิมเป็นคำพูดของผู้เล่าเอง (Indirect Speech)
      - Nicole says that she is going to the movies.
      - Judy tells me to get out.
การเปลี่ยนประโยคคำพูดจาก  Direct Speech  หรือ  Indirect Speech   มี 3 ประเภท
1.  Indirect Speech     -       Statement
2.  Indirect Speech     -       Questions
3.  Indirect Speech     -       Command or Request
การเปลี่ยนประโยคคำพูดเป็น   Indirect Speech   ยึดหลัก 4 ข้อดังนี้



UNIT 11 : If It Hadn't Happened

Should have + Past Participle

Should สามารถนำมาใช้กับ perfect infinitive (have + past participle) พูดเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีตซึ่งไม่เกิดขึ้น,หรือซึ่งอาจจะหรืออาจจะไม่เกิดขึ้น.
I should have posted the letter this morning, but I clean forgot. (Here we are talking about a past event which did not happen.)
She should have arrived now. (Here we are talking about the possibility of an event actually taking place.)
You should have written. I was getting worried. (The person didn’t write.)


UNIT 10 : I Wonder What Happened

Past Perfect Tense

1.ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น และสิ้นสุดลงแล้วในอดีตทั้ง2เหตุการณ์ซึ่งเหตุการณ์หนึ่งได้สิ้นสุดลงก่อนหน้าอีกเหตุการณ์ โดย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงก่อนจะใช้Past Perfect Tense
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงทีหลังจะใช้Past Simple Tense
We had gone outbeforehe came.
(เราออกไปข้างนอกกันแล้วก่อนที่เขาจะมา)
2.Past Perfect Tense มักจะใช้กับคำว่า before, after, already, just, yet, until, till, as soon as, when, by the time, by… (เช่น by this month) และอื่นๆ โดยจะมีอาจวิธีการใช้ต่างกันไป เช่น
Before+ Past Simple Tense + Past Perfect Tense เช่น
BeforeI went to the school, Ihad hada car accident.
(ก่อนที่ฉันจะไปโรงเรียน ฉันได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์)




UNIT 9 : Complaints, Complaints

Have/Get Something (Done)

have something done
(หลัง something เป็น Past participle หรือ Verb ในรูป -ed form หรือที่เรามักเรียกว่า Verb ช่อง 3 นั่นเอง)
I had the message passed to Mr. Jack.
ฉัน (จัดให้มีการ) ส่งผ่านข้อความไปถึงคุณแจ็คแล้ว
I had our roof repaired yesterday.
ฉัน (จัดให้มีการ) ซ่อมหลังคาของเราแล้วเมื่อวานนี้
I had my hair cut.
ฉัน (ให้ช่าง) ตัดผมแล้ว




UNIT 8 : Wishful Thinking

If-Clause

If Clauses หรือ Conditional Sentences คือ ประโยคที่มีข้อความแสดงเงื่อนไข (conditions) หรือการสมมุติซึ่งประกอบด้วยประโยคเล็ก 2ประโยครวมกัน และเชื่อมด้วย conjunction "if"ประโยคที่นำหน้าด้วย if แสดงเงื่อนไข เราเรียกว่า if-clauseและประโยคที่แสดงผลเงื่อนไขนั้น เราเรียกว่า main clause
If it rains , I shall stay at home.
(If-clause) (main clause)
Conditional Sentences แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ อ่านเพิ่มเติม




UNIT 7 : You've Got Mail!

Preposition+gerund

Gerunds (เจอรันสฺ) เป็นกริยารูปหนึ่งที่ลงท้ายด้วย ing และทำหน้าที่เป็น คำนาม (noun) ฉะนั้นตำแหน่งของคำกริยาประเภทนี้ในประโยคคือ ประธาน (subject) กรรมตรง (direct object) ประธานเสริม (subject complement) และกรรมของบุพบท (object of preposition)
ตำแหน่งของ Gerunds
1. ประธาน (subject) ตัวอย่าง
Traveling might satisfy your desire for new experiences.
การเดินทางอาจจะสนองตอบความปรารถนาด้วยประสบการณ์ใหม่ๆ ของคุณ
หมายเหตุ กรณีนี้รูปกริยา Traveling เป็นประธาน ก็เพราะวางอยู่หน้ากริยาหลักของประโยค นั่นคือ might satisfy อ่านเพิ่มเติม




UNIT 6 : Take My Advice

Modal Auxiliaries

Modal verb หรือกริยาช่วย อันได้แก่ can, could, may, might, will และ would ฯลฯ นั้น ทำหน้าที่ได้ 2 ประการ คือ ใช้แสดง ความเป็นไปได้และ ใช้แสดงมารยาททางสังคมต่างๆ
1. การใช้ modal verbs แสดง ความเป็นไปได้
    Modal verbs ใช้แสดงได้ทั้ง ความเป็นไปได้และ แนวโน้มของความเป็นไปได้
    Modal verbs จึงแสดงได้ทั้ง ความเป็นปัจจุบันและ ความเป็นอนาคต
    เราสามารถแบ่งระดับการใช้ modal verbs ที่แสดง ความเป็นไปได้และ แนวโน้มของความเป็นไปได้ได้ 3 ระดับดังนี้ อ่านเพิ่มเติม




UNIT 5 : Did You Hurt Yourself ?

Reflexive  Pronouns

Pronouns คือ คำที่ใช้เพื่อทดแทนคำนาม หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า สรรพนามสำหรับ Reflexive pronouns (ริเฟล็กซิฟวฺ โพรนาวสฺ) หมายถึง สรรพนามที่สะท้อนกลับไปยังคำนามหรือสรรพนามที่ทำหน้าที่ประธานในประโยค ข้อสังเกตของสรรพนามประเภทนี้คือลงท้ายด้วย -self ถ้าเป็นเอกพจน์ หรือ -selves ถ้าเป็นพหูพจน์ ได้แก่ อ่านเพิ่มเติม




UNIT 4 : The Art of Advertising

Passive Voice

Active Voice คือ รูปของกริยาซึ่งประธานเป็นผู้กระทำโดยตรง
 Mary eats a mango. (แมรี่รับประทานมะม่วง)   
Passive Voice คือ รูปกริยาซึ่งประธานเป็นผู้ถูกกระทำกริยานั้น โดยผู้อื่นหรือสิ่งอื่น
 A mango is eaten by Mary. (มะม่วงถูกรับประธานโดยแมรี่)
จะเห็นได้ว่า ใจความประโยค Active Voice และ Passive Voice นั้นมีความหมายอย่างเดียวกัน ผิดกันก็ตรงที่ประโยค Active Voice นั้น ประธานเป็นผู้ทำกริยา ส่วน Passive Voice นั้นประธานเป็นผู้ถูกกระทำกริยา
กริยาที่จะทำเป็นประโยค Passive Voice ได้จะต้องเป็นกริยาที่เรียกว่า Transitive Verb คือกริยาที่ต้องการกรรมมารับ เช่น to love, to catch, to buy, to eat, to see, etc. ส่วน Intransitive Verb ซึ่งหมายถึง อ่านเพิ่มเติม




UNIT 3 : What Will Be, Will Be

Future with Will or Be Going To

1. will และ be going to เป็นโครงสร้างที่ใช้แสดงอนาคตกาล
2. โครงสร้าง be going to ใช้ในความหมายของความตั้งใจจะกระทำจริงๆ ในอนาคตมากกว่าโครงสร้าง will อ่านเพิ่มเติม




UNIT 2 : Careers

Present Perfect Continuous Tense

1.ใช้กับเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นในอดีตต่อเนื่องมายังปัจจุบัน และยังคงดำเนินต่อไปอีกในอนาคตโดยใช้กับคำว่า since และ forเช่น 
Shehas been sittinghere for an hour.
(เธอนั่งอยู่ตรงนี้มาเป็นเวลาชั่วโมงหนึ่งแล้ว)
2.คำกริยาที่ใช้กับ Present Perfect Continuous Tense นั้น จะต้องเป็นคำกริยาที่แสดงถึงความต่อเนื่องหรือ กริยาที่แสดงถึงการกระทำที่นาน (long action) เท่านั้น เช่น play, look, watch, learn, live, wait, eat และอื่นๆ โดยไม่สามารถใช้กับกริยาที่ไม่แสดงถึงความต่อเนื่อง หรือ กริยาที่แสดงถึงการกระทำที่จบในทันทีได้ เช่น stop, prefer, arrive เป็นต้น เช่น อ่านเพิ่มเติม

Present Perfect Simple

Tense นี้ใช้บรรยายเหตุการณ์ หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตและดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน เช่น
We have studied English for a long time.
เราเรียนภาษาอังกฤษมานานแล้ว (ขณะนี้ก็ยังเรียนอยู่)




UNIT 1 : Big Changes

Present Simple Tense

1.ใช้พูดถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา หรือ เกิดขึ้นเป็นประจำซ้ำไปซ้ำมา เช่น
I drink a lot of water. (ฉันดื่มน้ำเยอะ)
2.ใช้กับการกระทำที่ ทำจนเป็นอุปนิสัย หรือ ใช้เพื่อแสดงความถี่ของการกระทำต่างๆ โดยเรามักใช้กับ คำกริยาวิเศษณ์แสดงความถี่ (Adverbs of Frequency) มาช่วยในการแสดงความถี่ของการกระทำ เช่น
I always do my homework. (ฉันทำการบ้านของฉันเสมอ)


*อย่างไรก็ตามประโยคที่มี คำกริยาวิเศษณ์แสดงความถี่ (Adverbs of Frequency) นั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็น Present Simple Tense เสมอไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า ประโยคนั้นกล่ อ่านเพิ่มเติม

Present Progressive Tense

1. ใช้กล่าวเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นขณะที่พูดอยู่ หรือในระหว่างอาทิตย์นั้น เดือนนั้นก็ได้ ซึ่งอาจจะมีคำเหล่านี้อยู่ด้วยก็ได้now / right now  ตอนนี้
at the moment  ตอนนี้ อ่านเพิ่มเติม

Present Perfect Tense

1.ใช้กับเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นในอดีต และดำเนินต่อเนื่องมายังปัจจุบัน และมีแนวโน้นที่จะดำเนินต่อไปได้อีกในอนาคต เช่น
I have had a lot of toys.
ฉันมีของเล่นมากมาย (และอาจจะมีของเล่นเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต)
2.ใช้กับเหตุการณ์ในอดีตที่ เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงแล้ว แต่ยังส่งผลมายังปัจจุบัน เช่น
It has stopped raining.
ฝนหยุดตกแล้ว (แต่ถนนยังเปียกอยู่) อ่านเพิ่มเติม